วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คำถาม

คำถาม

              1.       ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตวิทยุคนแรกของโลกคือใคร
              2.       บุคคลใดได้ชื่อว่าเป็น”ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ”
              3.       ชาลส์ โรเบิร์ต ดาริวัน คือใคร
              4.       บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยเป็นสมยานามของใคร
              5.      ไอน์สไตน์มีความสนใจวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเพราะอะไร
              6.       3 ทฤษฎีที่อัลเบิร์ตไอน์สไตน์ได้ค้นพบคือ
              7.       ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อัลเบิร์ตไอน์สไตน์มีส่วนร่วมอะไร
              8.       มารี คูรี ได้บังเอิญค้นพบปรากฎการณ์ธาตุยูเรเนียมร่วมกับใคร
              9.       ผลงานของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีอะไรบ้าง
             10.    ใครคือผู้ที่มีชื่อเสียงเรื่องหลอดไฟฟ้า





เฉลย
             1.            กูกลิเอลโม มาร์โคนี
             2.            ชาลส์ โรเบิร์ต ดาริวัน
             3.            เป็นนักธรรมชาติวิทยา
             4.            พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
             5.            บิดาของเขาได้นำเข็มทิศมาให้เล่นจึงทำให้เขาสงสัยว่าทำไมเข็มทิศชี้ไปทางทิศเหนือ
             6.            1. ทฤษฎีโฟโต้อิเล็กตริก
                         2. การเคลื่อนที่แบบราวเนียน
                         3. ทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษ
7.  ทำจดหมายถึงประธานาธิบดีโรส เวลท์ ของสหรัฐ ให้พัฒนาระเบิดปรมาณู
8.  ร่วมกับเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าปิแอร์
9.  ผลงาน 1. การคำนวณตำแหน่งของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
                 2. การคำนวณว่าจะมีการเกิดอุปราคาที่หว้ากอ

10. โทมัส อัลวา เอดิสัน

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์             อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นทั้งนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เป็นนักคิดค้นที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง เป็นคนที่รักความสงบ มีนิสัยนอบน้อมถ่อมตน
             
             ไอน์สไตน์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปี คศ. 1879  ที่เมืองอูล์ม ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมันนี บิดาของไอน์สไตน์เป็นชาวยิว มีชีวิตในวัยเด็กเหมือนเด็กทั่วไป
 มีการกล่าวกันว่าจุดที่ทำให้ไอน์สไตน์มาสนใจวิทยาศาสตร์อย่างมากคือเข็มทิศ ในขณะนั้นเขามีอายุได้ 5 ปี และกำลังนอนป่วยอยู่บนเตียง บิดาได้นำเข็มทิศมาให้เล่น เขาใส่ใจและสนใจอยากรู้ว่าทำไมเข็มทิศจึงชี้ไปทางทิศเหนือ และตั้งแต่นั้นมาเขาเริ่มสนใจทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์
             
             หนังสือเรขาคณิตเป็นหนังสือที่เขาโปรดปรานมาก เขาศึกษาเรขาคณิตจากหนังสือของยูคลิด อายุเพียง 12 ปี เขาทำความเข้าใจในเรื่องเรขาคณิตของยูคลิดเป็นอย่างดี ครั้งเมื่อเติบโตขึ้นจนอายุเข้า 16 ปี เขาก็สามารถเรียนรู้หลักการทางคณิตศาสตร์ชั้นสูงหลายอย่าง เช่น วิชาการแคลคูลัส และดิฟเฟอเรนเชียน การอินทิกรัล และกฎของนิวตัน ตลอดจนหลักการทางฟิสิกส์อีกมากมาย
             
            วันหนึ่งในวัยเรียนหนังสือเขามองดูท้องฟ้า และจินตนาการว่าถ้าตัวเขาวิ่งไล่ตามแสงด้วยความเร็วเท่ากับแสงแล้วอะไรจะเกิดขึ้น  เขาจะมองเห็นแสงหรือไม่ ถ้าไล่ตามแสงด้วยความเร็วเท่ากับแสง ความเร็วสัมพันธ์ของแสงจะเท่ากับศูนย์หรือไม่ ถ้าแสงหยุดชงัก มันก็จะไม่มาถึงตาเรา วัตถุทั้งหลายก็จะหายไป สิ่งนี้ทำให้เขาขบคิดอยู่ตลอดมา
             ต่อมาเขาได้เข้ามหาวิทยาลัย และเลือกเรียนวิชาฟิสิกส์เป็นวิชาเอก  เขาสนใจในวิชาฟิสิกส์อย่างมาก เขาได้มีโอกาสศึกษาวิชาฟิสิกส์ของผู้ยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาหลายคน จนใน ปี คศ. 1900 เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและได้สิทธิการเป็นพลเมืองสวิส หลังจากนั้นได้มีโอกาสทำการวิจัยที่หน่วยงาน  จดทะเบียนลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์ที่เบิร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์  จากการทำวิจัยในวัยหนุ่มของเขานี้เอง  ทำให้เขาได้พบกับทฤษฎีสำคัญยิ่ง สามทฤษฎีคือ ทฤษฎีปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กตริก การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน  และทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ
             
             ในปี คศ. 1909 มหาวิทยาลัยชูริกได้เชิญเขาเป็นอาจารย์และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ และได้ทำการสอนในอีกหลายมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยปราก มหาวิทยาลัยโปลิเทคนิคแห่งสวิส มหาวิทยาลัยเบอร์ริช และไอน์สไตน์ยังได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่ทำให้เกิดการดึงดูดที่มีต่อการเดินทางของแสง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าแสงเป็นอนุภาคซึ่งเป็นสิ่งที่โต้แย้งมานานว่า  แสงเป็นอนุภาคหรือเป็นคลื่น  การสรุปครั้งนี้ทำให้ทราบว่าแสงเป็นทั้งอนุภาคและคลื่น
             
             ในปี คศ.1922 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลในสาขาฟิสิกส์ ต่อมาในปี คศ.1933 ขณะที่เขามีอายุ 54 ปี ที่เยอร์มัน นาซีได้ยึดอำนาจการปกครอง ไอน์สไตน์จึงหลบออกจากเยอรมัน เข้าเป็นสมาชิกของศูนย์วิทยาศาสตร์ชั้นสูงของอเมริกา และใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา
             
             เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง มีข่าวคราวว่าเยอรมันนีกำลังพัฒนาระเบิดปรมาณู ไอน์สไตน์กลัวว่าเยอรมันนีจะพัฒนาระเปิดปรมาณูได้ก่อน  จึงทำจดหมายถึงประธานาธิบดีโรสเวลท์เสนอให้ศึกษาการพัฒนาระเบิดปรมาณู
             
             ขณะที่อเมริกากำลังพัฒนาระเปิดปรมาณู โดยใช้ชื่อโครงการว่าแมนฮัตตัน  ในปี 1940 ไอน์สไตน์ได้ปฏิเสธที่จะร่วมในองค์กรพัฒนาระเบิดปรมาณู แต่การพัฒนาระเบิดก็ทำได้สำเร็จ  และนำมาทิ้งที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ
             
            ชีวิตในปั้นปลาย ไอน์สไตน์ได้รณรงค์เรื่องการต่อต้านการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ เขาเสียชีวิตที่พรินซ์ตัน ในปี คศ. 1955 ขณะที่มีอายุได้ 76 ปี

อาริสโตเติล

             
               อาริสโตเติลหรือ แอริสตอเติล  (พ.ศ. 160 (384 ก่อนค.ศ.) - 7 มีนาคม พ.ศ. 222 (322 ก่อนค.ศ.)) เป็นนักปรัชญากรีกโบราณ เป็นลูกศิษย์ของเพลโต และเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราช ท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่ง ในโลกตะวันตก ด้วยผลงานเขียนหนังสือเกี่ยวกับฟิสิกส์ กวีนิพนธ์ สัตววิทยา การเมือง การปกครอง จริยศาสตร์ และชีววิทยา
               นักปรัชญากรีกโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออาริสโตเติล เพลโต (อาจารย์ของอาริสโตเติล) และโสกราตีส (ที่แนวคิดของเขานั้นมีอิทธิพลอย่างสูงกับเพลโต) พวกเขาได้เปลี่ยนโฉมหน้าของปรัชญากรีก สมัยก่อนโสกราตีส จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของปรัชญาตะวันตกในลักษณะปัจจุบัน โสกราตีสนั้นไม่ได้เขียนอะไรทิ้งไว้เลย ทั้งนี้เนื่องจากผลของแนวคิดปรากฏในบทสนทนาของเพลโตชื่อ เฟดรัส เราได้ศึกษาแนวคิดของเขาผ่านทางงานเขียนของเพลโตและนักเขียนคนอื่นๆ ผลงานของเพลโตและอริสโตเติลเป็นแก่นของปรัชญาโบราณ

                อริสโตเติลเป็นหนึ่งในไม่กี่บุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้ศึกษาแทบทุกสาขาวิชาที่มีในช่วงเวลาของเขา ในสาขาวิทยาศาสตร์ อริสโตเติลได้ศึกษา กายวิภาคศาสตร์, ดาราศาสตร์, วิทยาเอ็มบริโอ, ภูมิศาสตร์, ธรณีวิทยา, อุตุนิยมวิทยา, ฟิสิกส์,และ สัตววิทยา   ในด้านปรัชญา อริสโตเติลเขียนเกี่ยวกับ สุนทรียศาสตร์, เศรษฐศาสตร์, จริยศาสตร์, การปกครอง, อภิปรัชญา, การเมือง, จิตวิทยา, วาทศิลป์ และ เทววิทยา   เขายังสนใจเกี่ยวกับ ศึกษาศาสตร์, ประเพณีต่างถิ่น, วรรณกรรม และ กวีนิพนธ์ ผลงานของเขาเมื่อรวบรวมเข้าด้วยกันแล้ว สามารถจัดว่าเป็นสารานุกรมของความรู้สมัยกรีก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว



พระบาทสมเด็จจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว



พระราชสมภพ : 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347
สวรรคต          :   1 ตุลาคม พ.ศ. 2411

ผลงาน             : 1. การวางพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย
                              1.1 สถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย
                          2. ผลงานการวิจัย
                               2.1 การคำนวณหาตำแหน่งของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์
                               2.2 การคำนวณว่าจะมีการเกิดอุปราคาได้หรือไม่
                               2.3 การคำนวณว่าการเกิดอุปราคาที่หว้ากอ จะเกิดสุริยุปราคาในลักษณะใด




               พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่สมเด็จพระศรี สุเรนทรามาตย์ ณ พระราชวังเดิม ธนบุรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ขณะประสูติสมเด็จพระราชบิดาดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อพระราชบิดาขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระบรมนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้ว จึงเสด็จเข้ามาประทับในพระบรมหาราชวัง



  พระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับยอกย่องในพระราชสมัญญานามว่า พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยเพราะทรงพระปรีชาสามารถ ทรงศึกษาเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น บาลี อังกฤษ ละตินเป็นพิเศษ สำหรับพระปรีชาสามารถและอัจฉริยะทางดาราศาสตร์ ทรงศึกษาโดยพระองค์เองจากตำราไทยและมอญ ซึ่งแปลจากตำราโบราณของฮินดู และทรงศึกษาตำราดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์จากยุโรป จนสามารถคำนวณได้ล่วงหน้าถึง 2 ปีว่า จะเกิดสุริยุปราคาเต็ม ดวงในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 และเห็นได้อย่างชัดเจนในประเทศไทยที่บ้านคลองลึก ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังกล่าวมาแล้วในตอนต้นเป็นเหตุให้ทรงได้รับการยกย่องจากวงการวิทยาศาสตร์ ของชาติมหาอำนาจในยุคนั้นเป็นอย่างสูง



              พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับทูลเกล้า ฯ ถวายพระเกียรติ ให้ทรงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตว์ วิทยาสมาคมแห่งสหราชอาณาจักร บรรดาประมุขของต่างประเทศในยุโรปอเมริกาต่างพากันตระหนักดีว่า ทรงสนพระทัยวิทยาศาสตร์ยิ่งนักในจำนวนเครื่องราชบรรณาการ  จึงมักมีเครื่องมือและหนังสือทางวิทยาศาสตร์รวมอยู่ด้วยเสมอ  เช่น พระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ได้ถวายกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งเซอร์ ยอนบาวริ่ง ได้บันทึกไว้ว่า กล้องที่นำมาถวายมีคุณภาพต่ำกว่ากล้องโทรทรรศน์ที่ทรงมีอยู่แล้วเสียอีก กล่าวกันว่าในห้องส่วนพระองค์จะมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์เหมือนห้องนักปราชญ์ ราชบัณฑิตที่มีชื่อเสียงและมั่งคั่งของโลกในสมัยนั้นทีเดียว









































กาลิเลโอ กาลิเลอี

กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) นักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักปรัชญาเมธี ชาวอิตาเลี่ยน
เกิด 15 กุมภาพันธ์ คศ.1564 ที่ เมืองปิซ่า อิตาลี
เสียชีวิต 8 มกราคม คศ.1642
               


                 กาลิเลโอ เป็นคนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์มาก แต่บิดาของเขาอยากให้เรียนวิชาการแพทย์ เพราะสามารถหาเงินง่ายและเป็นที่นับถือแต่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย นอกจากนี้เขายังสนใจด้านศิลปะภาพเขียน เขายังมีความสามารถด้านดนตรี บิดาของกาลิเลโอเป็นนักคณิตศาสตร์และดนตรีและนักเขียนพอมีชื่อเสียงแต่ฐานะไม่รำรวย แต่เขาไม่อยากให้บุตรชายเป็นเหมือนเขา จึงได้ส่งเขาไปร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยเมืองปิซาด้านการแพทย์ จนอายุได้ 19 ปี มีศาสตราจารย์คนหนึ่งมาสอนเรื่อง คณิตศาสตร์ เขาได้แอบเข้าไปเรียนด้วย จนกระทั่งกล้าซักถามปัญหาและต่อมาหลังจากได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ เมืองปิซ่า กาลิเลโอ เคยไปสวดมนต์ที่โบสถ์เขาสังเกตเห็นโคมไฟในโบสถ์ถูกลมพัดแกว่งไป-มา เมื่อลมหยุดตะเกียงแกร่งสั้นเข้าๆ จนในที่สุดมันก็หยุด เขาได้ความรู้ว่าแม้ช่วงที่แกร่งสั้นเข้า แต่ความเร็วก็ไม่ได้ลดลงเลย ความคิดนี้เขาได้นำมาประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้มให้แก่พ่อของเขาเรือนหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งเขานับจังหวะการแกว่งของโคมไฟกับการเต้นของหัวใจ จนประดิษฐ์เครื่องมือวัดการเต้นของหัวใจได้ว่าเต้นนาทีละกี่ครั้ง เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ของแม้จะมีน้ำหนักต่างกันแต่ตกถึงพื้นพร้อมกัน โดยขึ้นไปบนหอเอียงปิซ่า เอาของที่มีน้ำหนักต่างกันทิ้งลงมา ปรากฎว่าถึงพื้นดินพร้อมกันซึ่งหลักอันนี้แม้จะขัดกับคำพูดของอริสโตเติลแต่ก็เป็นความจริง นอกจากนี้เขายังค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีด้วยกล้องโทรทัศน์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมา และเขาก็ได้พิสูจน์ได้ว่า โลกไม่ได้อยู่นิ่งๆหรือเป็นศูนย์กลางของดวงดาวทั้งหลายแต่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งทำให้คณะบาทหลวงและกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับเขาและโป้ปฟ้องหาว่าเขาเป็นคนนอกศาสนา (เพราะไปขัดแย้งกับแนวคิดทางศาสนา กับ อริสโตเติ้ล)ห้ามไม่ให้เขาเผยแพร่ความคิดนี้ และประกาศให้คนทั่วไปทราบว่าความคิดของเขาผิด เขาได้เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ ที่อายุน้อย คือ 24 ปี ทั้งที่ไม่มีใบปริญญาที่เมืองปิซา แต่อยู่ได้ไม่นานต้องลาออกไปเพราะไปขัดแย้งของของตกจากที้สูงที่ขัดแย้งกับ อริสโตเติล จนได้ไปสอนที่มหาวิทยาลับปาดัว (University of Padua) ที่ยาวนานถึง18 ปี ในบั้นปลายชีวิตของกาลิเลโอ นั้นน่าสงสารยิ่ง เพราะเขาป่วยจนตาบอดเพราะมาจากการใช้สายตาส่องดูกล้องมากเกินไป จนตายไป แม้ตอนตายหลุมศพเขายังห้ามมิให้มีแผ่นศิลาจารึกให้เขาอีกด้วย ศพของเขาได้ถูกนำไปฝัง ณ Church of Santa Croce หลังจากนั้นอีก 50 ปี ก็ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นเกียรติกับความสำเร็จของเขาในกาลต่อมาก็เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก

ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน

            ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน (อังกฤษ: Charles Robert Darwin FRS; 12 ก.พ. ค.ศ. 1809 – 19 เม.ย. ค.ศ. 1882) เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) เขาตีพิมพ์ข้อเสนอของเขาในปี ค.ศ. 1859 ในหนังสือชื่อ The Origin of Species (กำเนิดของสรรพชีวิต) ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา ผลงานนี้ปฏิเสธแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่เคยมีมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของสปีชีส์[1][2] ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 ชุมชนวิทยาศาสตร์และสาธารณชนส่วนมากจึงยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการในฐานะที่เป็นความจริง อย่างไรก็ดี ยังมีคำอธิบายที่เป็นไปได้ทางอื่นๆ อีก และยังไม่มีการยอมรับทฤษฎีนี้เป็นเอกฉันท์ว่าเป็นกลไกพื้นฐานของวิวัฒนาการ ตราบจนกระทั่งเกิดแนวคิดการสังเคราะห์วิวัฒนาการยุคใหม่ (modern evolutionary synthesis) ขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930-1950[3][4] การค้นพบของดาร์วินยังถือเป็นรูปแบบการควบรวมทางทฤษฏีของศาสตร์เกี่ยวกับชีวิต ที่อธิบายถึงความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต
ความสนใจเกี่ยวกับธรรมชาติตั้งแต่วัยเด็กทำให้ดาร์วินไม่สนใจการศึกษาวิชาแพทย์ในมหาวิทยาลัยเอดินเบอระเลย แต่กลับหันไปช่วยการตรวจสอบสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เมื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ช่วยกระตุ้นความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมากขึ้น[7] การเดินทางออกไปยังท้องทะเลเป็นเวลา 5 ปีกับเรือบีเกิล (HMS Beagle) และโดยเฉพาะการเฝ้าสำรวจที่หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และให้ข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งเขานำมาใช้ในทฤษฎีของเขา ผลงานตีพิมพ์เรื่อง การผจญภัยกับบีเกิล (The Voyage of the Beagle) ทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะนักเขียน[8]
             ด้วยความพิศวงกับการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตในภูมิภาคที่แตกต่างกัน กับฟอสซิลที่เขาสะสมมาระหว่างการเดินทาง ดาร์วินเริ่มการศึกษาอย่างละเอียด และในปี ค.ศ. 1838 จึงได้สรุปเป็นทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติแม้ว่าเขาจะอภิปรายแนวคิดของตนกับนักธรรมชาติวิทยาหลายคน แต่ก็ยังต้องการเวลาเพื่อการวิจัยเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญกับงานด้านธรณีวิทยาเขาเขียนทฤษฎีของตนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1858 เมื่อ อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ ส่งบทความชุดหนึ่งที่อธิบายแนวคิดเดียวกันนี้มาให้เขา และทำให้เกิดการรวมงานตีพิมพ์ของทฤษฎีทั้งสองนี้เข้าด้วยกันในทันทีงานของดาร์วินทำให้เกิดวิวัฒนาการสืบเนื่องต่อมา โดยดัดแปลงมาเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลยิ่งต่อแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางชีววิทยาในธรรมชาติในปี ค.ศ. 1871, เขาได้ตรวจดู วิวัฒนาการของมนุษย์ และ การคัดเลือกทางเพศ ใน The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex ตามด้วย The Expression of the Emotions in Man and Animals. งานวิจัยเกี่ยวกับพืชได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือชุดหลายเล่ม ในเล่มสุดท้ายเขาได้ตรวจสอบ ไส้เดือน และอิทธิพลที่มันมีต่อดิน

             ดาร์วินได้รับยกย่องในฐานะนักวิทยาศาสตร์โดยมีการจัดพิธีศพอย่างเป็นทางการในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ และฝังร่างของเขาไว้เคียงข้างกับจอห์น เฮอร์เชล และ ไอแซก นิวตันเขาได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

หลุยส์ ปาสเตอร์

             หลุยส์ ปาสเตอร์ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1822 - 28 กันยายน ค.ศ. 1895) นักเคมีและนักจุลชีววิทยา เกิดที่เมืองโดล ประเทศฝรั่งเศส ได้รับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเบซากองและมหาวิทยาลัยปารีส ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่สตราบวร์ก ลิลล์ และมหาวิทยาลัยปารีส และได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์สาขาเคมีที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ในปี พ.ศ. 2410

ปาสเตอร์เป็นผู้แถลงว่าการเน่าและการหมักเกิดจากเชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ ปาสเตอร์ได้ค้นพบปรากฏการณ์นี้ในระหว่างการศึกษาว่าเหตุใดเหล้าองุ่นจึงเสียรสขณะบ่ม แต่เมื่อนำเหล้าองุ่นไปอุ่นให้ร้อนแล้วจึงป้องกันไม่เหล้าองุ่นกลายเป็นน้ำส้มสายชูได้ ซึ่งการกระทำลักษณะนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นการฆ่าเชื้อวิธีปาสเตอร์ (Pasteurization) การค้นพบนี้ทำให้สาขาวิชาจุลชีววิทยาโดดเด่นก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ารทดลองที่มีชื่อเสียงของปาสเตอร์เมื่อปี พ.ศ. 2424 ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแกะและวัวที่ได้รับการฉีด วัคซีนที่ทำจากเชื้อจุลินทรีย์บาซิลไล ซึ่งเป็นเป็นสมมติฐานของโรคแอนแทรคที่ถูกทำให้อ่อนจางลงของเขา สามารถต่อสู้กับโรคระบาดที่มีอันตรายของสัตว์คือโรคแอนแทรคดังกล่าวได้โดยไม่ติดโรค ในปี พ.ศ. 2431 สถาบันปาสเตอร์ได้รับการจัดตั้งขึ้นในกรุงปารีสเพื่อต่อสู้กับโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งปาสเตอร์ได้ทำงานประจำในสถาบันนี้จนถึงแก่กรรม


ปัจจุบัน สถาบันปาสเตอร์ยังคงเป็นสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกที่ยังคงทำงานวิจัยงานด้านจุลชีววิทยาอยู่ รวมทั้งการค้นพบเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์

ลักษณะสำคัญของนักวิทยาศาสตร์



ลักษณะสำคัญของนักวิทยาศาสตร์
      นัก วิทยาศาสตร์ต้องมีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่ง คือเป็นคนที่ต้องทำงานเป็นกระบวนการอย่างมีระบบดังที่กล่าวมาแล้วในขั้นต้น การที่นักวิทยาศาสตร์สามารถทำงานเป็นกระบวนการได้นั้น แสดงว่าต้องมีลักษณะอื่นที่สนับสนุนลักษณะนิสัยในการทำงานดังกล่าว ได้แก่ลักษณะต่างๆดังต่อไปนี้ 
       1.ช่างสังเกต นักวิทยาศาสตร์มักเป็นคนช่างสังเกต เพราะการสังเกตทำให้พบสิ่งใหม่ๆ ซึ่งนำไปสู่การคิดค้นหาคำ อธิบาย ซึ่งนำไปสู่การค้นพบกฎหรือทฤษฎีต่างๆมากมาย
       2.อยากรู้อยากเห็น นักวิทยาศาสตร์มักช่างคิดช่างสงสัย และอยากรู้อยากพบความจริงใหม่ๆ จึงมักตั้งปัญหาต่างๆ เพื่อค้นหาคำตอบเสมอ ลักษณะนิสัยนี้นำไปสู่การค้นพบข้อมูลและความรู้ใหม่ๆเสมอ
      3.มีความเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่ต้องอธิบายได้ด้วยเหตุด้วยผล ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงต้องมีลักษณะนิสัยของความมีเหตุมีผล เมื่อได้ข้อมูลใหม่หรือพบปรากฏการณ์ใหม่ นักวิทยาศาสตร์จะศึกษาว่า เมื่อผลปรากฏการณ์เช่นนี้ สาเหตุควรเป็นอย่างไร เมื่อทราบสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ก็จะบอกได้ว่าผลเป็นอย่างไร นักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อคำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐาน แต่จะเชื่อในสิ่งที่มีประจักษ์พยาน หรือหลักฐานสนับสนุนเสมอ
     4.มีความคิดริเริ่ม นักวิทยาศาสตร์มักเป็นคนมีความคิดริเริ่ม อยากคิดอยากทำสิ่งใหม่ๆเสมอ ผลงานทางวิทยาศาสตร์หรือสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นผลของวิทยาศาสตร์ที่เราได้นำมา ใช้กันมากมายทุกวันนี้เป็นผลของความคิดริเริ่มของนักวิทยาศาสตร์แทบทั้งสิ้น เช่นหลอดไฟจากความคิดของทอมัส แอลวา เอดิสัน เครื่องบินจากความคิดของพี่น้องตระกูลไรต์
     5.มีความมานะพยายามและความอดทน ผลงานทางวิทยาศาสตร์หรือสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่เป็นผลของวิทยาศาสตร์มิใช่ว่าจะทำสำเร็จจากการทดลองเพียงครั้งเดียว นักวิทยาศาสตร์เมื่อมีความคิดริเริ่มแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อไปคือ ต้องทำให้สำเร็จ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องมีความมานะพยายามที่จะทำงานให้สำเร็จ และมีความอดทนต่อความทุกข์ยากและอุปสรรคนานาประการ