ชื่อเดิมของ มารี คูรี (Marie Curie) คือ มารียา สโคลดอฟสกา (Marja Sklodowska) เธอเกิดที่กรุงวอร์ซอร์เมืองหลวงของประเทศโปแลนด์
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 เป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 5 คน
บิดาของเธอคือ ศาสตราจารย์วลาดิสลาฟ สโคลดอฟสกา
เป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในกรุงวอร์ซอร์
ทำให้เธอได้รับการถ่ายทอดวิชาวิทยาศาสตร์จากบิดามาตั้งแต่เด็ก
ด้วยการติดสอยห้อยตามบิดาเข้าไปในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนด้วยเสมอ
ทำให้เธอซึมซับและหลงใหลในวิชาวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่วัยเด็ก
โชคร้ายของคนโปแลนด์ เมื่อรัสเซียได้เข้ามายึดโปแลนด์ไว้เป็นเมืองขึ้น
มีการกดขี่ข่มเหงชาวโปแลนด์อย่างมาก
ทั้งการบังคับให้ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว
ทำให้ชาวโปแลนด์รวมทั้งครอบครัวของมาเรียได้รับความลำบากมากในการใช้ชีวิตและการศึกษาอย่างมาก
มาเรียขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กเรียนเก่งมีความจำเป็นเลิศ เธอจบชั้นมัธยมด้วยรางวัลเหรียญทองในวัย 16 ปี
แต่ด้วยความที่บิดาขาดทุนจากกิจการที่ทำอยู่
มาเรียและพี่จึงขัดสนเงินทองเกินกว่าจะศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสตามที่หวังได้
เมื่อเธอเรียนจบการศึกษาระดับต้นแล้ว
มาเรียกับพี่สาวจึงต้องหยุดเรียนแต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศส
เพราะมหาวิทยาลัยในโปแลนด์ไม่รับนักศึกษาหญิง
มาเรียจึงได้มาทำงานเป็นครูอนุบาลสอนหนังสือให้กับเด็กที่บ้านชนชั้นผู้ดีเพื่อหาเงินส่งพี่สาว
คือ โบรเนีย (Bronia)
ไปเรียนต่อด้านแพทย์ศาสตร์ ที่กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศสก่อน
เพื่อที่เมื่อพี่สาวเรียนจบเเล้วจะได้ส่งเสียเธอเรียนต่อเป็นการตอบแทน
และระหว่างรอมาเรียนก็ศึกษาด้วยตัวเองไปพลางๆ
โบรเนีย จบในปี ค.ศ. 1889 และแต่งงานกับเพื่อนที่เรียนแพทย์มาด้วยกัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1891 ขณะมาเรียอายุได้ 23 ปี ก็ถึงเวลาโบยบินของเธอ มาเรียโดยสารรถไฟไปยังกรุงปารีส เพื่อศึกษาต่อสมใจเสียที และเมื่อมาถึงฝรั่งเศสมาเรียก็เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า มารี ตามสำเนียงภาษาฝรั่งเศส มารีเข้าเรียนวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่ซอร์บอน (Sorbonne) เธอเรียนหนังสือด้วยความมุ่งมั่น ขยันขันแข็ง จนสอบได้ที่ 1 ในสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1893 และปีถัดมาก็สามารถสอบได้ที่ 2 ในสาขาคณิตศาสตร์
โบรเนีย จบในปี ค.ศ. 1889 และแต่งงานกับเพื่อนที่เรียนแพทย์มาด้วยกัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1891 ขณะมาเรียอายุได้ 23 ปี ก็ถึงเวลาโบยบินของเธอ มาเรียโดยสารรถไฟไปยังกรุงปารีส เพื่อศึกษาต่อสมใจเสียที และเมื่อมาถึงฝรั่งเศสมาเรียก็เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า มารี ตามสำเนียงภาษาฝรั่งเศส มารีเข้าเรียนวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่ซอร์บอน (Sorbonne) เธอเรียนหนังสือด้วยความมุ่งมั่น ขยันขันแข็ง จนสอบได้ที่ 1 ในสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1893 และปีถัดมาก็สามารถสอบได้ที่ 2 ในสาขาคณิตศาสตร์
ด้วยเงินส่งเสียอันน้อยนิดจากพี่สาว ประกอบกับการที่มารีชอบที่จะแยกตัวออกไปอยู่ที่อื่นทำให้เงินที่ได้มาไม่พอต่อค่าใช้จ่าย
เธอจึงดิ้นรนหางานทำและในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1894 มารีก็ได้งานเป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมี
ของ ปิแอร์ คูรี (Pierre
Curie) ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศสในคณะฟิสิกส์
ผู้ซึ่งในอนาคตจะเป็นสามีและผู้ร่วมงานที่อยู่เคียงข้างเธอ และในที่สุดทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันในปีถัดมา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม
ต่อมาใน กุมภาพันธ์ค.ศ. 1895 เมื่อนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสชื่อว่า อองรี แบ็กเกอแรล (Henri Becquerel) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของปิแอร์
ได้บังเอิญค้นพบปรากฏการณ์ธาตุยูเรเนียมมีการปล่อยพลังงานออกมาได้เองตามธรรมชาติในอัตราคงที่
ซึ่งต่างกับรังสีเอกซ์ที่ได้จากการผลิตขึ้นมา
ทำให้มารีที่กำลังหาหัวข้อวิจัยทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกสนใจที่จะศึกษาสมบัติของปรากฏการณ์นี้ มารีและปิแอร์จึงได้ค้นคว้าเกี่ยวกับรังสียูเรเนียมอย่างจริงจัง
และต่อมาทั้งสองก็ค้นพบว่า มีพลังงานถูกปล่อยออกมาจากแร่พิตช์เบลนด์ (Pitchblende) ซึ่งเป็นออกไซด์ชนิดหนึ่งของแร่ยูเรเนียม
เธอแยกธาตุออกจากแร่พิทช์แเบลนด์ได้เป็นส่วนย่อย
จนกระทั่งพบธาตุใหม่อีกธาตุหนึ่ง ที่แผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมเพียง 4 เท่า มารีให้ชื่อแร่ที่พบว่า โปโลเนียม (Polonium) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศโปแลนด์อันเป็นบ้านเกิดของมารี
ทั้งสองยังหาสาเหตุต่อไปว่ายังมีสารกัมมันตภาพรังสีอื่นใดอีกในสินแร่พิตช์เบลนด์
และต่อมา ในปี ค.ศ.1902
ก็สามารถแยกเรเดียม (Radium) ได้ตามมา ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมถึง
2 ล้าน 5 แสนเท่า มีสมบัติหลายประการ ได้แก่ ทำให้เกิดแสงเรือง มีพลังความร้อน
นอกจากนี้เมื่อเรเดียมแผ่รังสีไปถูกวัตถุอื่น
วัตถุนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุกัมมันตภาพรังสี สามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกันกับเรเดียม
และที่สำคัญด้วยคุณสมบัติ ของรังสีที่จะทำให้รู้สึกร้อนต่อผิวหนังนี้เอง
ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคผิวหนังบางชนิดและโรคมะเร็งได้ จากการค้นพบครั้งนี้ทำให้ทั้งคู่ได้รับรางวัลเหรียญทองเดวี่
จากราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอนของอังกฤษ และโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ. 1903 รวมกับ
แบ็กเกอแรล ผู้ค้นพบรังสีจากธาตุยูเรเนียม อย่างไรก็ตาม ทั้งสองก็ไม่ได้นำผลงานชิ้นนี้ไปจดทะเบียนสิทธิบัตร
แต่กลับเลือกเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับรู้อย่างละเอียดแทน
แต่ทว่าชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ของทั้งสองก็ต้องพบกับความเศร้าสด
เมื่อเช้าของวันที่ 19
เมษายน 1906 ปีแอร์ คูรี
ประสบอุบัติเหตุรถม้าบรรทุกคันหนึ่งวิ่งเข้ามาขนเขาล้มลง และทับศีรษะ
ทำให้ปิแอร์เสียชีวิตทันที ข่าวร้ายนี้ทำให้มารีเศร้าโศก
และกระทบต่อการทำงานค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของเธออย่างมาก
แต่สุดท้ายมารีก็ลุกกลับขึ้นมาทำการศึกษาทดลองต่อไปโดยปราศจากผู้ที่เป็นทั้งเพื่อร่วมงานที่เก่งกาจและผู้ร่วมชีวิตที่รักมาก
ในเวลาต่อมามหาวิทยาลัยปารีสได้อนุมัติเงินก้อนหนึ่งให้กับมารี
ในการจัดสร้างสถาบันเรเดียม เพื่อทำการทดลองค้นคว้าและแยกธาตุเรเดียม
เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ มารีได้อุทิศตนค้นคว้าอย่างมุ่งมั่น ทุ่มเทอย่างเต็มที่เกี่ยวกับธาตุเรเดียมอย่างจริงจัง ทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลครั้งที่สอง สาขาเคมี ในปี ค.ศ.1911 จากการศึกษาทางด้านเคมีที่ค้นคว้าหาประโยชน์จากเรเดียมเพิ่มเติม และเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง
แต่การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อ
เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ชายที่ทำงานในสถาบันถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร
มารีเองก็ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมกับอาสาสมัครร่วมกันกับลูกสาวคนโต (อีแรน)
จัดตั้งแผนกเอกซเรย์ประกอบรถเอกซเรย์เคลื่อนที่
เพื่อตระเวนรักษาทหารที่บาดเจ็บตามหน่วยต่างๆ และใช้รังสีเอกซ์เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 มารีได้กลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง
แต่ผลกระทบจากการสัมผัสกัมมันตภาพรังสีของเรเดียมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ทำให้สุขภาพของเธอเริ่มทรุดโทรม มีอาการอ่อนเพลีย และหมดแรงอย่างรวดเร็ว
ไขกระดูกเธอถูกทำลาย และในที่สุดการค้นพบที่ช่วยชีวิตผู้คน กลับต้องแลกด้วยชีวิตของเธอ
มารีเสียชีวิตด้วยโรคลูคีเมีย ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1934
มารีกับปีแอร์มีลูกสาว 2 คน
คนโตชื่อว่าอีแรน (Irne)
เกิดปี ค.ศ. 1897
ซึ่งต่อมากลายเป็นนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับสามีชื่อเฟรเดริก
โชลีโย (Frederic
Joliot) ในปี ค.ศ. 1935 หลังการสูญเสียมารดาไป 1 ปี และคนน้องชื่อเอฟว์
(Eve)
เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1904
จากความสำเร็จในการทำงานอยู่กับธาตุเรเดียมอย่างยาวนาน
แม้จะมีอื้อฉาวในชีวิตรักที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับนักฟิสิกส์ที่มีภรรยาแล้ว
แต่หากเทียบกับสิ่งที่เธอทำไว้ ก็ต้องยอมรับว่า มารี คูรี
คือหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ ที่โดดเด่นที่สุดในศตวรรษที่ 20 เป็นแบบอย่างของผู้หญิงที่มีความพยายาม
ต่อสู้เพื่อให้ได้รับการยอมรับ
แร่เรเดียมที่เป็นแสงสว่างของชีวิตคนอื่นๆ
กลับเป็นตัวปิดฉากชีวิตของมารี คูรี ลงอย่างน่าเศร้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น